Turning บทที่ 11
“ในตอนนั้น
ข้าคิดว่าพรสวรรค์ของเจ้าเหมาะกับทั้งสายกำลังและเวทย์เป็นพิเศษ แต่ถ้าต้องเลือก ข้าคิดว่าเจ้าจะเหมาะกับสายเวทย์มากกว่า...
ข้าคิดผิดหรือเปล่า?”
“ข้าคิดผิดหรือเปล่า?”
ในอดีต
เขาเคยพูดบางอย่างที่คล้ายกันกับยูเดอร์ ซึ่งมาที่นี่เร็วกว่าใครๆ และประกาศความตั้งใจที่จะเข้าร่วมสายเวทย์
“พลังของเจ้ามีแนวโน้มไปทางสายเวทย์งอย่างมาก
การรับรู้ถึงทิศทางพรสวรรค์ของตัวเองก่อนใครถือเป็นเรื่องที่ดี”
มันแปลกขนาดไหนที่ได้ยินคำพูดแตกต่างกัน
จากคนๆเดียวกัน สถานที่เดียวกัน อนาคตที่เขารู้อยู่แล้วกำลังเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเลือกของเขา
“อันที่จริง
ข้ามาที่นี่เพื่อบอกท่านว่า ข้าตัดสินใจเลือกสายกำลังแทน”
คำพูดของยูเดอร์
ทำให้คีเซียร์เอียงศีรษะ ราวกับพยายามวัดความจริงจรังของเขา
“เจ้าจริงจังเหรอ?”
"ครับ"
“มีเหตุผลอะไรในการเลือกสายกำลังไหม”
“ข้าคิดว่าตนเองต้องการไปยังสายกำลัง
มากกว่าสายเวทย์ ในขณะที่อยู่ระหว่างการฝึก”
“อืม...
แม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะเบ่งบานเร็วขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจ้าไปตามทางของสายเวทย์?”
ราวกับคำถามที่สามารถอ่านอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม ยูเดอร์ไม่ได้ตื่นตระหนกในครั้งนี้และตอบอย่างใจเย็นอย่างที่เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้า
“เป็นไปได้ไหมที่ผลลัพธ์ตรงข้ามอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน”
"นั่นเป็นเรื่องจริง"
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาสีแดงของ
คีเซียร์
“ปกติเมื่อถูกท้าทายแบบนี้
พวกเขาจะลังเลและพิจารณาอีกครั้งอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยคิดว่าได้ข้อสรุปหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าความคิดเห็นของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไม่สำคัญ ก็ได้ ข้าจะดำเนินการให้เจ้าไปที่สายกำลัง”
เป็นการตอบสนองที่สะอาดและตรงไปตรงมาจนเกือบจะรู้สึกเหนือจริง
ยูเดอร์รู้สึกถึงความว่างเปล่า
เขาจำได้ชัดเจนเลยว่าคีเซียร์
แต่งตั้งให้เขาเป็นรองผู้บัญชาการที่รับผิดชอบสายเวทย์ โดยไม่มีเหตุผลทันที
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องสงสัยและไม่ยอมรับ หากเขาเลือกสายกำลัง
อย่างไรก็ตาม
ไม่มีข้อกังขาในทัศนคติของคีเซียร์ขณะนี้
“โดยปกติ
เจ้าจะต้องลงนามในเอกสารด้วยตัวเอง แต่นั่นจะเป็นหลังจากที่เรื่องอื่นๆ ได้รับการจัดการแล้ว”
คีเซียร์
ไม่ได้บอกว่าเรื่องอื่นๆ เหล่านั้นคืออะไร อย่างไรก็ตาม ยูเดอร์รู้อยู่แล้ว
'ใกล้ถึงเวลาที่จะได้รับนามสกุลแล้ว'
เขาได้รับนามสกุลไม่นานหลังจากเข้าร่วมกองทหารม้าในอดีต
เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับชื่อสกุลใหม่หลายร้อยชื่อที่จะถูกสร้างขึ้นและมอบให้ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีความจริงใจ
โดยใช้ชื่อจากบ้านเกิดหรือจากพระคัมภีร์
แต่ยังคงมีช่องว่างสถานะระหว่างผู้ที่มีชื่อนามสกุลกับผู้ที่ไม่มี
เมื่อมองย้อนกลับไป
เป็นเรื่องน่าทึ่งที่องค์จักรพรรดิยอมให้มีเรื่องเช่นนี้
การต่อต้านจากขุนนางคงจะรุนแรงมาก เขาจัดการมันยังไง?
ยูเดอร์ไม่มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์ก่อน
หรือตอนนี้คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้บัญชาการทหารม้า
สิ่งที่เขาจำได้ก็คือจักรพรรดิองค์ก่อนนั้นเป็นพี่ชายต่างมารดาของ
คีเซียร์ ลา ออร์ ซึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียว เป็นเวลาหลายปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
เขาป่วยหนักจนไม่ได้แสดงหน้าต่อหน้าขุนนางด้วยซ้ำ
และมกุฏราชกุมารผู้สืบทอดราชบัลลังก์หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ คือบุตรบุญธรรมแทนที่จะเป็นบุตรทางสายเลือด
สมัยที่ยังอาศัยอยู่บนภูเขา
เขาไม่เคยรู้จักใบหน้าของลอร์ดที่ปกครองหมู่บ้านด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาขององคจักรพรรดิเลย
ครั้งเดียวที่เขาได้เห็นใบหน้าของจักรพรรดิคือในระหว่างพิธีแต่งตั้งครั้งแรกในกองทหารม้า
“มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”
ในขณะที่ยูเดอร์กำลังคิด
ดูเหมือนคีเซียร์จะรู้สึกว่าเขามีอะไรจะพูดมากกว่านี้ ยูเดอร์จ้องมองเขาครู่หนึ่งแล้วเปิดปากอย่างหุนหันพลันแล่น
“ฝ่าบาท
ทำไม…”
“เรียกข้าว่าท่านหัวหน้า”
ฝั่งตรงข้ามขัดจังหวะกะทันหัน
ดวงตาสีแดงผ่อนคลายของเขาส่องประกายด้วยความเจ้าเล่ห์
“ตามกฎหมายของออร์
สถานะไม่ได้มีความสำคัญเหนือตำแหน่ง แน่นอนว่ามีหลายคนที่เพิกเฉยต่อสิ่งนี้
แต่ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ตำแหน่งผู้บัญชาการก็เพียงพอแล้ว”
“อ่า
ครับ ท่านหัวหน้าหน่วย ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมท่านถึงสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา”
“สถานที่แห่งนี้?
เจ้าหมายถึงอาคารนี้หรือกองทหารม้า?”
เขาถามแบบนั้น
แม้ว่าเขาจะรู้แน่ชัดว่ายูเดอร์หมายถึงอะไรก็ตาม
ยูเดอร์ไม่ชอบนิสัยเจ้าเล่ห์ของเขามาโดยตลอด เมื่อรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆ
ของเดจาวู ยูเดอร์จึงเปิดปากของเขา
“แน่นอน
อย่างหลัง”
“เจ้าเป็นคนแรกที่ถามข้าตรงๆ
แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่ถามถึงเหตุผลเลย”
ไม่มีคำใบ้ในสีหน้า
ว่าเขาคิดว่าคำถามของยูเดอร์กล้าหาญหรืออวดดีรึเปล่า
“เหตุผลที่ข้าสร้างทหารม้าขึ้นมาน่ะเหรอ?
ก็ง่ายมาก พลังต้องไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง หากเจ้าพยายามสกัดกั้นหรือกำจัดมันอย่างแข็งขัน
เจ้าจะต้องจ่ายราคาสำหรับสมดุลที่สูญเสียไป ในฐานะคนที่มีความสามารถเหมือนพวกเจ้าทุกคน
ข้าคิดว่า ข้าจำเป็นต้องสร้างเส้นทางสำหรับพลังนี้ ก่อนที่มันจะทำร้ายจักรวรรดิ
และเนื่องจากข้าเป็นเพียง ผู้ปลุกพลัง คนเดียวในบรรดาสมาชิกราชวงศ์ ข้าจึงคิดว่าข้าเหมาะสมที่สุด
นั่นคือทั้งหมดที่มี"
เป็นคำตอบตามตำรา
ที่ยากต่อการคัดค้าน
ยูเดอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจถามคำถามอีกหนึ่งคำถาม
“แล้วท่านจะเป็นผู้นำเพียงคนเดียวของกองทหารม้าในอนาคตหรือไม่?”
“เป็นคำถามแปลกๆแฮะ
เจ้าอยากได้ตำแหน่งนี้อยู่หรือเปล่า?”
"จะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับ"
ถ้ามีใครเคยได้ยินก็คงตำหนิเขาที่ตอบไปห้วนๆแบบนั้นและบอกให้เขาตอบอย่างสุภาพด้วย
ขณะที่ยูเดอร์ขมวดคิ้วและตอบ
คีเซียร์ก็หัวเราะดังกว่าเดิม มันเป็นเสียงหัวเราะที่สนุกสนานอย่างไม่น่าเชื่อ
“เอาล่ะ
สำหรับตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อแบ่งสายได้แล้ว ข้าวางแผนที่จะเลือกรองผู้บัญชาการมาช่วยข้า
ด้วยความสามารถของเจ้า อาจสามารถรับตำแหน่งนี้ได้นะ”
"ข้าจะไม่มีคุณสมบัติ"
ยูเดอร์ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ข้าเข้าสังคมไม่ได้
และไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเพื่อนสมาชิกด้วย”
“โอ้
เจ้าคิดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีด้านที่อ่อนโยนกว่าที่ข้าคาดไว้”
คีเซียร์
ส่ายหัว
"การเข้าสังคมและมิตรภาพเป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าต้องการแบบนั้นข้าเลือกคนธรรมดามาก็ได้
จงอย่าลืมว่า พลังที่พวกเจ้ามีนั้น ไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ตอนนี้พวกเจ้าอาจจะยังถ่อมตัวและยำเกรงต่อชนชั้น ด้วยความเคยชินจากชีวิตก่อนหน้า
แต่อีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ ทุกอย่างจะพลิกกลับตาลปัตร”
"…"
“ตอนนี้
เจ้าอาจจะไม่เข้าใจความหมายของของข้าก็ตาม…”
“ไม่ครับ
ข้าเข้าใจดี”
ยูเดอร์ไม่สามารถตอบกลับได้ในทันที
เพราะคำตอบที่ดูเหมือนสบายๆของคีเซียร์เกี่ยวกับอนาคตนั้นแม่นยำอย่างน่าขนลุก
เขาพูดถูก
ในตอนนี้สมาชิกทหารม้าอาจรู้สึกด้อยกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอัศวินหรือขุนนางระดับสูงของจักรพรรดิ
แต่ในอีกไม่กี่ปี สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
มีเพียงทหารม้าเท่านั้นที่สามารถจัดการหายนะที่เพิ่มขึ้นได้
และพวกเขาก็หลุดพ้นจากระบบชนชั้นก่อนหน้านี้ โดยประสบกับ หน้าตาทางสังคม
การเลื่อนตำแหน่ง และอำนาจที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
มหาอำนาจแบบดั้งเดิมอย่างอัศวินหลวง
หรือนักเวทแห่งหอคอยไข่มุข ก็ไม่สามารถจัดการกับกองทหารม้า และผู้ปลุกพลังได้อีกต่อไป
คนเดียวที่สามารถปราบปรามพวกเขาได้คือผู้ที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า
ยกตัวอย่างเช่น
ผู้บัญชาการยูเดอร์
ยูเดอร์จะท้าทายสมาชิกที่ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ดวลตัวต่อตัว
เขาจะจัดการต่อหน้าทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่กล้าก่อกบฏอีก
มีการบ่นมากมายว่ามันเหมือนกับการจัดการกับสัตว์แทนที่จะเป็นมนุษย์
แต่มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้
แต่เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอดีตไปแล้ว
ยูเดอร์คิดว่าคีเซียร์ จะมีแนวทางที่แตกต่างออกไปในการจัดการกับสมาชิก แต่บางที...
“ถ้าไม่มีคำถามอะไรอีกก็กลับไปได้เลย”
"อา ครับ"
“ห้องนี้เปิดอยู่เสมอ
ดังนั้นหากเจ้ามีคำถามเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะเข้ามาได้ตลอดเวลา ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่
ฝากข้อความไว้กับผู้ช่วยของข้าได้”
ยูเดอร์คิดกับตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของคีเซียร์
เขาเคยมาห้องนี้สองสามครั้งตอนที่
คีเซียร์เป็นผู้บัญชาการ แต่วันนี้มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง การปรากฏตัวของผู้ช่วย
นาธาน
ซัคเกอร์แมน ผู้ช่วยผู้โด่งดังของคีเชียร์ ซึ่งอยู่กับเขามาตั้งแต่ยังเป็นเจ้าชายไม่ใช่ดยุคแห่งเปเลต้า
ในอดีตตอนที่ยูเดอร์มาเยื่อนเขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า?
ขณะที่ยูเดอร์พยายามนึกถึงความทรงจำที่คลุมเครือของเขา
คีเซียร์ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างและหันหน้าไปและพูดว่า "อา"
"ลองคิดดูแล้ว เจ้าอาจไม่รู้ว่าผู้ช่วยของข้าคือใคร
ขณะนี้เขากำลังจัดการเรื่องต่างๆ ในปราสาทเปเลต้า แทนข้า เมื่อเขาเสร็จงานก็จะมาที่นี่
เขาไม่ใช่ผู้ปลุกพลัง แต่ค่อนข้างมีฝีมือในเรื่องดาบ"
'ค่อนข้าง'
เหรอ? ยูเดอร์เกือบจะหัวเราะประชดประชันออกมาแต่ก็กลั้นไว้
นาธาน
ซัคเกอร์แมนเป็นนักดาบ เขาไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ
แต่ยูเดอร์เคยได้ยินเรื่องนี้โดยตรงในอดีตและมั่นใจในสิ่งนั้น
ยูเดอร์เคยทะเลาะกับเขาด้วยซ้ำ ความคิดเห็นแบบสบายๆ ของคีเซียร์ เกี่ยวกับนาธานที่
'ค่อนข้าง' มีทักษะในการใช้ดาบทำให้
ยูเดอร์ คิดว่าเขาเจ้าเล่ห์เหมือนงู
"เข้าใจแล้วครับ"
หลังจากตอบแล้วยูเดอร์ก็ออกจากที่พักของคีเซียร์
ในที่สุดก็หลุดพ้นจากรัศมีอันละเอียดอ่อนแต่น่าสะพรึงกลัวของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสัมผัสได้จากด้านหลัง
จนหายใจออกยาวออกมา
'...'
แต่ทีนี่ก็ยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว
คีเซียร์ไม่ได้สร้างกองทหารม้า
ด้วยความตั้งใจที่จะมอบให้กับบุคคลอื่นตั้งแต่แรก ในเวลาเพียงสองปีนับตั้งแต่ผู้ปลุกพลังปรากฏตัว
เขามีความเข้าใจอย่างน่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับแนวโน้มและอิทธิพลที่พวกเขาจะมีต่ออนาคต
หากมีคนเจ้าเล่ห์อย่างเขาอยู่ในกองทหารม้า
ยูเดอร์คงไม่ล้มเหลวอย่างน่าสมเพชเหมือนในอดีต เพราะคีเซียร์มีเชื้อสายและสายสัมพันธ์อันสูงส่งคอยช่วย
ทำไมคนอย่างเขาถึงก้าวลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการและกลับไปบ้านเกิด? นั่นเป็นคำถามที่ยูเดอร์จะต้องสืบต่อไป