(สปอย์) มหัศจรรย์เนตรทองคำ เล่ม 9


(สปอย์) มหัศจรรย์เนตรทองคำ เล่ม 9

จวงรุ่ย (พระเอก) ที่ไปปักกิ่ง เพื่อจะให้กู่เทียนเฟิงหรือกู่เหลาอาจารย์ปู่ของเขาช่วยแกะสลักหยกเจไดต์สีเขียวจักรพรรดิเนื้อแก้ว สำหรับทำเป็นจี้หยกให้กับแม่ จวงหมิ่น (พี่สาวพระเอก) และนานนาน (ลูกสาวจวงหมิ่น) แต่พอไปถึงกับพบปี้อวิ๋น (พี่ 4) พี่ร่วมสาบานพาไปคลับเฮาส์

ในคลับเฮาส์จวงรุ่ยกับได้พบกับโอวหยางจวินที่เป็นเจ้าของคลับเฮาส์ ซึ่งโอวหยางจวินกับมีไปหน้าคล้ายกับจวงรุ่ยราวกับส่องกระจก เพียงแต่ว่ามีอายุมากกว่าจวงรุ่ย จึงทำให้ทั้งสองสงสัยก่อนที่พวกจวงรุ่ยจะกลับไป

พอโอวหยางจวินกลับบ้านกับโดนโอวหยางเจิ้นอู่ (พ่อโอวหยางจวิน) ต่อว่าที่ไม่ยอมรับราชการแต่ไปทำธุรกิจบันเทิง โอวหยางจวินจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องโดยการบอกว่า "ได้พบกับคนที่หน้าตาเหมือนกันคือจวงรุ่ย" โอวหยางเจิ้นอู่ที่ได้ยินจึงคาดเดาว่า "จวงรุ่ยน่าจะเป็นลูกของน้องสาวที่ตัดขาดจากตระกูลของตน" โอวหยางเจิ้นอู่จึงให้โอวหยางจวินพยายามติดต่อยังจวงรุ่ยให้มาพบตน แต่พอโอวหยางจวินติดต่อไปกับพบว่า "จวงรุ่ยไม่ว่าง" เพราะได้ติดตามกู่เหลาไปยังซินเจียงแล้ว

ที่ซินเจียงจวงรุ่ยได้ติดตามกู่เหลาไปพบยังอาตีลา ราชาหยกแห่งคุนหลุน ทำให้จวงรุ่ยได้ทราบถึงหยกเนื้ออ่อนที่เป็นอันดับ 1 ของหยกที่มีแหล่งผลิตในประเทศจีนเทียบเท่ากับหยกเนื้อแข็งเจไดต์ที่มาจากพม่าคือหยกเหอเถียน เป็นหินหยกที่มักถูกจะพัดพามาพร้อมกับสายน้ำให้ผู้คนเก็บ จนมีชื่อเรียกว่า "คนเก็บหยกในเทือกเขาคุนหลุน"

ตอนแรกกู่เหลาคิดที่จะมาร่วมงานเปิดพิธีขึ้นเขาเก็บหยกแค่วันสองวันแล้วกลับไปแกะสลักจี้หยกให้กับจวงรุ่ย แต่อาตีลาที่ชวนกู่เหลาที่ไม่ได้เจอกันนานอยู่ด้วยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะปกติในช่วงนี้กู่เหลามักจะหนีอากาศร้อนที่ปักกิ่งมาพักอยู่ที่นี่ จึงทำให้กู่เหลาตัดสินใจอยู่แกะสลักจี้หยกที่นี่ต่อ จวงรุ่ยจึงได้ติดตามคนเก็บหยกขึ้นเขาไปเก็บหินหยกในหุบเขาด้วยความสนใจ

ทีมเก็บหยกของจวงรุ่ยที่ขึ้นเขาไปจะเป็นทีมย่อยๆ มีกัน 5 คน โดยมีเถี่ยจื่อกับหวังเฟยที่เป็นคนที่มีประสบการณ์ กับจางต้าจื้อที่อาตีลาให้มาคอยดูแลเขาและเหมิ่งจื่อที่ตัวโต แต่เด็กที่สุด ในตอนแรกเถี่ยจื่อกับหวังเฟยไม่ค่อยพอใจที่มีจวงรุ่ยซึ่งเป็นเด็กใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ขึ้นเขาไปด้วย เพราะจะทำให้เก็บได้น้อย อาจจะทำให้ส่วนแบ่งจากการเก็บหยกในการขึ้นเขาครั้งนี้ได้น้อย เพราะขึ้นได้แค่ปีละครั้ง แต่พออาตีลาบอกกับทุกคนว่า "จวงรุ่ยมีความสามารถในการดูหินหยก" จึงทำให้ทุกคนยินดี เพราะจะได้แบกหินหยกที่ยังดูไม่ออกลงมาน้อยลง

ในวันแรกจุดหมายปลายทางของกลุ่มจวงรุ่ยได้เดินตัดผ่านหุบเขามรณะก่อนที่จะไปพักค้างคืนที่อื่น เพื่อมุ่งหน้าต่อไปสู่โครกกระทิงอันเป็นจุดหมายที่กลุ่มของจวงรุ่ยเลือกที่จะมาเก็บหินหยกในลำธารกัน จนมาถึงทุกคนจึงแยกย้ายกันเก็บกินหยก เนื่องจากแสงแดดที่สาดส่องลงมาในลำธาร จึงทำให้พลังดวงตาของจวงรุ่ยมองไม่ออก เพราะแสงของหยกที่อยู่ภายในก้อนหินจะสะท้อนกับแสงของดวงตะวัน

ในขนาดที่เหมิ่งจื่อซึ่งตอนแรกที่ขึ้นมาในฐานะเด็กแบกของกับเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่สามารถหาหินหยกก้อนใหญ่ได้ จึงเอามาให้จวงรุ่ยดู ซึ่งจวงรุ่ยก็ช่วยดูรับประเมินราคาได้ราวล้านกว่าๆก่อนที่จะช่วยเจียรหินเอาหยกออกมา หลังจากนั้นทุกคนจึงให้เหมิ่งจื่อเฝ้าหยกไว้ ส่วนทุกคนก็ไปหากันต่อ

ในตอนกลางวันจวงรุ่ยที่ไม่สามารถหาหินหยกได้ เขาจึงไปที่ลำธารอีกครั้งในตอนกลางคืนซึ่งทุกคนก็ตามไป ซึ่งในครั้งนี้ด้วยพลังดวงตาของจวงรุ่ยจึงทำให้เขาสามารถเก็บหินหยกได้หลายก้อน แม้จะไม่ใช่ก้อนใหญ่นัก แต่ก็พอมีราคารวมๆกันหลายแสนหยวน ในขนาดที่คนอื่นๆก็เก็บกลับมาได้คนละก้อนสองก้อน จึงทำให้กลุ่มของจวงรุ่ยน่าจะทำเงินได้ในครั้งนี้ราว 2 ล้านหยวน โดยที่จวงรุ่ยอยากจะเก็บหินหยกที่มีหลายสีของตนซึ่งเก็บได้เป็นก้อนแรกไว้ ตอนแรกเขาจะหักเงินจากส่วนแบ่ง แต่ทุกคนกลับบอกว่า "ไม่ต้อง" เพราะหินหยกที่ยังไม่ได้ผ่าอาจไม่มีค่าอะไรเลย

แต่สิ่งที่ทำให้จวงรุ่ยตกใจและอยากจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด เพราะว่าเขาได้พบสายแร่หยกที่นี่ที่น่าจะมีหยกอยู่ราวๆ 100 กว่าตัน แต่ทุกคนยังอยากจะเก็บหยกอยู่อีกวันสองวัน เถี่ยจื่อที่มีประสบการณ์ทราบได้ถึงความดวงดีของกลุ่มตน จึงทราบดีว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงตกลงใจจะเก็บกันอีกวันแล้วกลับกันในวันรุ่งขึ้น

พอกลับไปถึงด้านล่าง จวงรุ่ยรีบไปหาอาตีลาทันที เพราะการสกัดหาหยกจากสายแร่หยก จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีอิทธิพลและกำลังทุน เขาจึงตัดสินใจจะร่วมลงทุนกับอาตีลาที่เป็นราชาหยกของที่นี่ โดนจวงรุ่ยกับอาตีลาจึงตัดสินใจร่วมลงทุนกันโดนแบ่งกันคนละ 50% แล้วพวกของจวงรุ่ยกับอาตีลาจึงคิดจะเดินทางขึ้นเขาอีกครั้ง ในขนาดที่กู่เหลาที่แกะสลักจี้หยกกับต่างหูให้กับจวงรุ่ยเสร็จ กับสนใจยังหินหยกหลากสีของจวงรุ่ยจึงเอาไปหมายจะพาออกเพื่อจะแกะสลักหยกที่อยู่ข้างในให้เขาอีก

ครั้งนี้พวกของจวงรุ่ยกับอาตีลาที่ขึ้นเขาไปด้วยลาที่ช่วยแบกยังเครื่องเจาะสกัดหินไปด้วย โดยมีเหมิ่งจื่อติดตามไปคนเดียว เพราะคนอื่นที่ทำเงินจากการขึ้นเขากับจวงรุ่ยในครั้งที่แล้วก็อาศัยเงินนั้นกลับไปตั้งตัว (โดยที่ตัวจวงรุ่ยตัดสินใจยกส่วนแบ่งในการหาหินหยกให้กับทุกคนไป) ซึ่งพอจวงรุ่ยพาอาตีลาและทุกคนไปยังจุดหมายก็สามารถสกัดและหาหินหยกได้ตามสายแร่ที่เขาบอก เมื่อพบและประเมินหยกได้ตามที่ต้องการจวงรุ่ยกับอาตีลาจึงลงจากเขากัน โดยทิ้งกลุ่มคนไว้เฝ้า 10 กว่าคน พอลงมาและจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จวงรุ่ยกับกู่เหลาจึงได้กลับปักกิ่งกัน

แต่พอกลับถึงปักกิ่งจวงรุ่ยก็ได้รับการติดต่อจากปี้อวิ๋นที่โดนโอวหยางจวินไปถามเรื่องจวงรุ่ยที่ทำงานแทบทุกวันได้ติดต่อมา จึงทำให้จวงรุ่ยที่พอจะเดาสาเหตุได้ว่า "โอวหยางจวินต้องการพบเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับแม่ของเขาที่แซ่โอวหยางและไม่อยากให้มาอยู่ปักกิ่ง" จึงตัดสินใจไปหายังโอวหยางจวินทันที และในเวลาเดียวกันเหมียวเฟยเฟย (ตำรวจหญิง/เพื่อนสนิทจวงรุ่ย) ก็โทรมาต่อว่าที่เขามาที่ปักกิ่งแล้วกับไม่ติดต่อหาเธอจึงทำให้ชวนมากินข้าวด้วยกันในคืนนี้

พอเหมียวเฟยเฟยมาถึงเจอปี้อวิ๋นจึงทำให้จวงรุ่ยรู้ว่า "ทั้งสองรู้จักกัน" เพราะตระกูลของทั้ง 2 ที่เป็นคนใหญ่คนโตต่างสนิทกัน ทั้งยังรู้จักกับตระกูลโอวหยางอีก เมื่อพวกของไปที่คลับเฮาส์ของโอวหยางจวิน ด้วยจวงรุ่ยที่สวมใส่ชุดเก่าๆขาดๆ เพราะพึ่งลงจากเขา จึงโดนจางซินอวี๋ที่เคยมีเรื่องกับเหมียวเฟยเฟยมาหาเรื่อง ถึงขนาดต่อว่าพ่อแม่ของจวงรุ่ยที่สอนให้มาเกาะผู้หญิงกิน จึงทำให้เขาโกรธคิดจะให้อีกฝ่ายขอโทษ แต่จางซินอวี๋กับเรียกรปภ.มาจะให้พาจวงรุ่ยออกไป จวงรุ่ยจึงคิดจะออกไป แต่โอวหยางจวินกับมาถึงก่อน จึงเรียกพวกจวงรุ่ยให้ไปทานอาหารกับตนในห้องพิเศษและให้จางซินอวี๋กลับไปแทน

หลังทานอาหารเสร็จจวงรุ่ยกับโอวหยางจวินจึงได้คุยกันแค่ 2 คนและจวงรุ่ยตกลงใจจะไปหาโอวหยางเจิ้นอู่ในคืนนั้นทันที เมื่อจวงรุ่ยได้คุยกับโอวหยางเจิ้นอู่จึงทำให้ทราบว่า "เขาเป็นลุงเล็กของตน" และในอดีตเพราะการที่แม่ได้แต่งงานกับพ่อที่ยากจนจึงทำให้ตาของเขาไม่พอใจตัดขาดออกจากตระกูล แม้ทางฝั่งลุงใหญ่จะเคยติดต่อไปให้ความช่วยเหลือหลังจากที่พ่อตาย แต่ก็โดนแม่ปฏิเสธไป ส่วนลุงใหญ่ก็โดนตาโกรธจนกระทั่งให้ไปทำงานที่อื่น และในยามนี้ตากับยายก็อายุจะเกิน 90 แล้วจึงอยากที่จะให้แม่ของจวงรุ่ยกลับมาในงานฉลองวันเกิดครบรอบ 90 ปี เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเมื่อไหร่ ซึ่งจวงรุ่ยก็รับปาก

ก่อนกลับจวงรุ่ยยังแวะไปซื้อกล่องใส่จี้หยกจากร้านในสาขาของฉินเซวียนปิง (น่าจะนางเอก) จึงพอที่จะทำให้โอวหยางจวินที่รู้สึกสนิทกับจวงรุ่ยเหมือนน้องชายแท้ๆกับได้รับรู้ถึงฐานะทางการเงินของจวงรุ่ยได้ว่า "น่าจะร่ำรวยพอๆกับตน" โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องช่วยเหลืออะไร ทั้งยังได้ทราบว่า "จวงรุ่นรู้จักซ่งจวิน (เถ้าแก่ใหญ่ที่ซื้อของเก่าจากจวงรุ่ยหลายชิ้น) ที่เป็นเถ้าแก่ใหญ่กับพวกของเหมียวเฟยเฟยจึงทำให้ทราบว่า "จวงรุ่ยมีเส้นสายที่ไม่ธรรมดา"

พอจวงรุ่ยกลับไปถึงเผิงเฉิงได้พบแม่ แม่ของเขาก็พอจะเดาได้ว่า "จวงรุ่ยไปพบใครที่ปักกิ่งมา" จึงชวนคุย และด้วยความเป็นห่วงใยบิดามารดาจนทำให้ทิฐิหมดไปตั้งนานแล้ว จึงทำให้แม่ของจวงรุ่ยตัดสินใจที่จะไปปักกิ่ง แต่จวงรุ่ยกับให้แม่รอไปก่อน ส่วนตัวเขาจะล่วงหน้าไปพบตากับยายก่อนดูว่า "อีกฝ่ายอยากพบแม่ของเขาหรือเปล่า"

ก่อนจะไปปักกิ่งอีกครั้งจวงรุ่ยได้ไปพบหลิวชวน (เพื่อนสนิทที่ทำฟาร์มสุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟฟ์) กับโจวรุย (คนดูแลฟาร์ม) จวงรุ่ยได้ตัดสินใจโอนหุ้นส่วนของตนให้กับโจวรุยที่ลงทุนลงแรงที่สุดไป 19% ทำให้เขาเหลือหุ่นแค่ 11% เพราะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องฟาร์มอีก โดยให้โจวรุยจ่ายเงินให้เขาในอนาคตอีก 2 ล้านเมื่อมีเงิน แต่เมื่อรวมหุ้นของตนและหลิวชวนแล้วยังถืออยู่ 51% ยังจัดว่า "เป็นหุ้นส่วนใหญ่"

ครั้งนี้จวงรุ่ยที่ไปปักกิ่งได้พาไป๋ซือ (สุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟฟ์) ที่หายดีไปด้วย พร้อมกับหลิวชวน จวงรุ่ยได้ไปพบโอวหยางจวินที่คลับเฮาส์ เพื่อตัดสินใจที่จะไปพบตากับยาย จึงทำให้รับรู้ว่า "ยายทราบเรื่องเขาแล้วและดีใจมากที่จะได้พบจวงรุ่ยกับแม่" ในขนาดที่เหมียวเฟยเฟยซึ่งมาพบ เพราะต้องเอาใบอนุญาตในการเลี้ยงสุนัขใหญ่มาให้จวงรุ่ย จึงสงสัยในฐานะและความสัมพันธ์ของจวงรุ่ยกับโอวหยางจวินได้ถามออกไป