(สปอย์) ราชันโลกพิศวง เล่ม 20


(สปอย์) ราชันโลกพิศวง เล่ม 20

ไคลน์ (พระเอก/เดอะฟูล/ผู้วิเศษระดับ 6 คนไร้หน้า) ได้ออกทะเล เพื่อตามหาเงือก ซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำยาปรุงยาคนเชิดหุ่น เขาได้ใช้ฐานะของนักผจญภัยชื่อว่า "เกอร์มัน สแปร์โรว์" ทันทีที่เรือแวะพักที่เมืองท่าดามีร์ ไคลน์ที่แวะไปหาข่าวที่บาร์ก็เผชิญกับนักต้มตุ๋นที่ร่วมมือกับคนดูแลบาร์หมายจะเข้ามาหลอกลวง เขาจึงจัดการซัดทั้ง 2 จนทำให้บาร์เสียหายแล้วออกจากบาร์ไป

แต่พอไคลน์ออกไปกับพบว่าโดนสะกดรอยตาม จึงดักรอพบอีกฝ่ายจึงได้ทราบว่าคือดานิซ อัคคีเริงโรจน์ที่มีค่าหัว 3,000 ปอนด์ หัวหน้ากะละสีลำดับ 4 ของเรือความฝันสีทอง ของขุนพลน้ำแข็ง เอ็ดวินา เอ็ดเวิร์ด (1ใน 7 เทพโจรสลัด) ที่กำลังลาพักร้อนอยู่ ดานิซที่เกิดสนใจในตัวไคลน์ ดานิซได้มาเตือนไคลน์ถึงบาร์ที่เขามีเรื่องเมื่อครู่เป็นของฉลามขาว ตนสามารถช่วยแก้ปัญหาให้ได้และคิดชวนไคลน์ขึ้นเรือความฝันสีทอง แต่ไคลน์กับปฏิเสธ และเขายังเห็นว่า "เอ็ดวินาและเรือความฝันสีทองเป็นโจรสลัดที่ดี เป็นนักผจญภัยค้นหาสมบัติมากกว่าจะปล้นใคร" จึงไม่คิดที่จะจับตัวดานิซไปขึ้นค่าหัว

ไคลน์ใช้พลังของคนไร้หน้าแปลงโฉมกลับไปที่บาร์อีกครั้งเพื่อสืบข่าว เขาได้พบฉลามขาวกำลังลงโทษคนดูแลบาร์และกำลังเรียกค่าเสียหายจากเอรินน์ (กัปตันเรือที่ไคลน์นั่งมา) โดยให้เอรินน์พาไคลน์มาชดใช้เงินให้ แต่เพราะเอรินน์เคยมีบุญคุณกับฉลามขาว เอรินน์จึงชดใช้ค่าเสียหายแทนไคลน์ เพื่อจบเรื่อง แต่ไคลน์ยังคงปลอมตัวเป็นลูกน้องฉลามขาวตามฉลามขาวเข้าไปในห้องพัก

ไคลน์ได้รีดข้อมูลฉลามขาวจนทำให้ทราบว่า "ฉลามขาวเป็นสายข่าวให้นายพลโลหิต (1ใน 7 เทพโจรสลัด)" ทั้งยังแกล้งใช้อาคมหลอกฉลามขาวว่า "ออกจากห้องไปแล้ว" แต่ความจริงยังแอบดูอยู่จึงทำให้ทราบถึงรหัสเครื่องโทรเลขที่ใช้ในการติดต่อด้วย

เมื่อไคลน์กลับขึ้นเรือโมราขาว เพื่อรอเรือออกจากท่าพลางวางแผนที่จะให้ฉลามขาวส่งข่าวให้นายพลโลหิตมาจัดการกับตน เพื่อที่จะจัดการอีกฝ่าย แต่เขากับพบยังดานิซที่เป็นคนขึ้นมาบนเรือแทน เพื่อนั่งเรือไปยังบายาม นครเห็นน้ำใจ ไคลน์ที่กลัวดานิซเป็นสายโจรจึงจับอีกฝ่ายไว้เป็นตัวประกันและใช้งานในฐานะคนรับใช้ของตน ทำให้ทันยากับเดนทอน (ลูกครอบครัวบล็องช์) ที่เห็นถึงดานิซทำงานรับใช้ไคลน์ จึงยิ่งรู้สึกถึงความสุดยอดของเกอร์มัน ในระหว่างล่องเรือมีกลุ่มโจรสลัดกลุ่มหนึ่งคิดปล้นเรือโมราขาว ไคลน์จึงให้ดานิซแขวนตัวเองให้โจรสลัดเห็น พอกลุ่มโจรเห็นดานิซจึงตกใจรีบหันหัวเรือหนีทันที

ท่าเรือต่อไปที่เรือแวะคือท่าเรือแบนซี ที่อยู่ภายใต้ลัทธิพายุ ก่อนที่ไคลน์จะลงจากเรือเขาได้ทำนายพบว่า "มีอันตราย" จึงตัดสินใจที่จะไม่ลงจากเรือ แต่ในยามที่อยู่บนเรือกับพบยังพายุที่รุนแรง อีกทั้งยังทราบว่า "ครอบครัวบล็องช์และคลีฟส์คนคุ้มกัน ตลอดจนกัปตันเรือเอรินน์ยังไม่กลับขึ้นเรือ" ไคลน์ที่ห่วงความปลอดภัยของทุกคนจึงลงไปตามหา โดยมีเดนิสติดตามไปด้วย

ด้านครอบครัวบล็องช์ที่อยู่ในร้านอาหารมะนาวเขียว ทันยาที่มองออกไปด้านนอกกับเห็นยังคนไร้หัวจึงร้องออกมาอย่างตกใจ ประกอบกับที่แบนซีมีธรรมเนียมห้ามออกจากบ้านตอนมีพายุ เจ้าของร้านอาหารจึงไม่อยากให้ใครกลับไป ด้านเอรินน์ที่ไปยังโบสถ์กับพบเห็นศพบาทหลวงถูกตัดคอ

ไคลน์ที่ลงมาตามหากับดานิซ พบยังหัวลอยเข้ามาโจมตีจึงจัดการไป เขายังแวะไปที่ร้านมะนาวเขียวช่วยเหลือพาครอบครัวบล็องช์ออกมาก่อน โดยไม่สนใจเจ้าของร้านและลูกค้าในร้านที่อยากให้ทุกคนค้างอยู่ในร้านอย่างมีพิรุธ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปหาเอรินน์ที่สถานีโทรเลข พอถึงสถานีโทรเลขทราบจากหญิงสาวที่อยู่ภายใน (ที่ไม่ยอมเปิดประตู) ว่า "เอรินน์ไปยังโบสถ์" และหญิงสาวยังขอให้ช่วยตามหาชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนร่วมงานให้ด้วย

ไคลน์ที่รับปากได้ไปยังโบสถ์ต่อ เมื่อพบเอรินน์ที่โบสถ์ ไคลน์จึงคิดจะกลับเรือ แต่ในระหว่างทางกลับพวกของไคลน์กับพบยังบิชอปมิลเลอร์ที่บาดเจ็บขวางทางและต้องการทำร้ายทุกคน ไคลน์จึงต้องต่อสู้กับมิลเลอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไคลน์ต้องสวมถุงมือความอดอยากที่คืบคลานใช้อาคมคลุ้มคลั่งของจิตแพทย์ ใช้พลังของผู้สอบสวนโจมตีจิตใจ จนสุดท้ายใช้พลังนักบวชแห่งแสงระดับ 5 ทำให้มิลเลอร์ได้รับบาดเจ็บ แล้วพุ่งเข้าไปใช้ความอดอยากที่คืบคลานกลืนกินมิลเลอร์เข้าไป แต่ก่อนกลับเรือ เอรินน์ขอแวะสถานีโทรเลขเพื่อแจ้งข่าวก่อน

ไคลน์จึงพาทุกคนย้อนกลับไปยังสถานีโทรเลข ครั้งนี้เขาได้ยินเสียงของชายหนุ่มแทน อีกฝ่ายบอกว่า "คือเพื่อนร่วมงานที่กลับมา" ไคลน์ที่พยายามขมความสงสัยและกลิ่นคาวเลือดหลังประตูสถานีโทรเลข เขาไม่กล้าสืบความลับของเมืองท่าแบนซีแห่งนี้รีบนำทุกคนกลับเรือทันที พอตอนเช้าเมื่อเรื่องจบลง เอรินน์ได้มาหาไคลน์บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงมิลเลอร์ที่ตกต่ำกลายเป็นสาวกของลัทธิชั่วร้าย ได้ตัดคอบาทหลวงที่รู้เรื่อง จึงทำให้ผู้ลงทัณฑ์ทราบแล้วมาจัดการมิลเลอร์และสาวกที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขา ก่อนที่จะหนีมาพบพวกของไคลน์ หลังจากนั้นผู้ลงทัณฑ์ก็จัดการกับลัทธิชั่วร้ายได้จนหมด เอรินน์ยังได้บอกถึงชื่อโบราณของแบนซีคือบินซี

ทำให้ไคลน์คิดถึงเมืองโบราณที่ชื่อบินซี ที่มีความเกี่ยวข้องกับราชาเทวทูตเมดิชีที่เป็น 1 ในผู้ก่อตั้งกลุ่มกุหลาบแห่งการกอบกู้ ทำเอาไคลน์จึงฉุกใจคิดถึงเรื่องที่สถานีโทรเลขและกลุ่มลูกค้าที่ร้านมะนาวเขียว ก่อนเรือจะแล่นออกจากท่าเรือแบนซี ในการประชุมสมาคมไพ่ทาโร่ ออเดรย์ (เดอะจัสติส/ผู้วิเศษระดับ 7 จิตแพทย์) ได้ขอซื้อผลพฤกษาแห่งอาวุโสกับเลือดมังกรกระจกจากเอ็มลิน (ผีดูดเลือด) บวกค่าติดต่อในราคา 850 ปอนด์ แต่พอเอ็มลินถามถึงราคามรดกของผีดูดเลือดระดับบารอน แอลเจอร์ (เดอะแฮงแมน/ผู้วิเศษระดับ 7 นักท่องทะเล) จึงบอกราคา 4,500 ปอนด์ ทำเอาเอ็มลินไม่มีปัญญาซื้อได้

ไคลน์ใช้ฐานะเดอะเวิลด์ในการขอให้แอลเจอร์ช่วยหาช่างเปลี่ยนวัตถุดิบของคนไร้หน้าทำเป็นอุปกรณ์ที่สามารถปลอมตัวและพอใช้ไฟโจมตีได้ ออเดรย์ที่ได้ยินคุณสมบัติจึงขอจองทันทีในราคา 4,500 ปอนด์ทันที ทำเอาฟอลส์ (เดอะเมจิกเชี่ยน/ผู้วิเศษระดับ 9 นักเรียนฝึกหัด) กับเอ็มลินต้องเศร้าใจในความยากจนของตัวเอง เดอร์ริค (เดอะซัน/ผู้วิเศษระดับ 8 ผู้วิงวอนต่อแสงสว่าง) ก็ได้มอบกระเพาะอาหารของคู่กินวิญญาณให้ฟอลส์ ฟอลส์จึงมอบเงินให้แอลเจอร์ 300 ปอนด์ แอลเจอร์จึงได้มอบสูตรน้ำยาผู้รับใช้แห่งสุริยเทพให้กับเดอร์ริคไป เดอร์ริคจึงเขียนรายชื่อสัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆนครเงินยวงให้กับแอลเจอร์ เพื่อให้เลือกของที่ราคาพอๆกัน

พอถึงช่วงแลกเปลี่ยนไคลน์จึงให้เดอะเวิลด์บอกถึงท่าเรือแบนซีที่เกี่ยวข้องกับราชาเทวทูต นักบวชสีชาด เมดิชีที่เกี่ยวข้องกลุ่มกุหลาบแห่งการกอบกู้ เพื่อให้แอลเจอร์รายงานลัทธิพายุ เอ็มลิมที่ไม่เงินจึงถามวิธีหาเงินจากทุกคน แอลเจอร์จึงแนะนำให้เขาทำตัวให้น่าสงสัย เพื่อให้คนใหญ่คนโตในตระกูลที่จับตาดู และมอบเงินให้ เพื่อที่จะได้ใช้เอ็มลินเป็นเบาะแสในการสืบต่อ

เมื่อไปถึงบายาม ไคลน์ได้ปล่อยตัวดานิซเป็นอิสระ แต่ดานิซที่ไปติดต่อยังสายโจรของตนกลับโดนศัตรูฉายาเหล็กกล้า แมคไวตี้ที่เป็นต้นหนของนายพลโลหิต เซนยอร์ดักทำร้ายปางตาย ดานิซรีบหนีมาก่อนที่จะสิ้นใจกับพบไคลน์ เขาพยายามจะสั่งเสียฝากคำพูดถึงกับตันและพ่อแม่ จนพูดจบไคลน์ถึงได้ย้ายอาการบาดเจ็บที่ท้องทะลุไปเป็นแขนหักแทน (ความสามารถของนักมายากล) ดานีสที่ร่ายยาวเก่อถึงกับพูดไม่ออก

ก่อนที่ทั้ง 2 จะร่วมกันวางแผนเพื่อเอาคืนแมคไวตี้