(สปอย์) ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา เล่ม 14
เฉินฉางเซิง (พระเอก/ขั้นรวบรวมดาวขั้นกลาง) ที่มุ่งหน้าไปสังหารโจวทงที่กองชำระความกับตกอยู่ภายใต้วงล้อมของเสี่ยวเต๋อ (อันดับ 4 ขั้นรวบรวมดาว/ชนเผ่ามาร) ที่ได้นำนักฆ่าของหอเทียนอี่มาล้อมไว้หมายจะสังหารเขา เฉินฉางเซิงจึงได้ปลดปล่อยกระบี่นับ 6,000 เล่มออกมา ทำให้ไม่มีเหล่านักฆ่าสามารถที่จะเข้าใกล้เขาได้ มีแต่ต้องให้เสี่ยวเต๋อลงมือเอง ซึ่งเฉินฉางเซิงจึงได้แต่ใช้กระบี่ตั้งรับหมัดของเสี่ยวเต๋อไว้ แม้จะได้รับบาดเจ็บก็ตาม เฉินฉางเซิงยังโจมตีกระบี่มากมายลงไปยังพื้นใต้ดินของกองชำระความ เพราะเขาทราบได้ดีถึงโจวทงได้ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
ที่ห้องขังใต้ดินที่ลึกที่สุด โจวทงกำลังดื่มเหล้ากับเซวียเหอ น้องชายเซวียสิ่ง (ขุนพลเทพอันดับ 2และพี่แท้ๆของโจวทง) ที่โดนโจวทงวางยาพิษจนเสียชีวิต เมื่อโจวทงรับทราบถึงการมาของเฉินฉางเซิงและมีคนสลายค่ายกลเปิดทางให้ จึงทำให้โจวทงรีบหลบหนีทันที แต่พอโจวทงเดินออกไปได้สักพักเจ๋อซิ่ว (เพื่อนพระเอก/ขั้นรวบรวมดาวขั้นต้น) ได้ปรากฏตัวออกมาหลังจากที่ซ่อนตัว 10 วัน เพราะเจ๋อซิ่วได้ร่วมมือกับเซวียเหอวางยาพิษในสุราของโจวทง เจ๋อซิ่วจึงปลดปล่อยเซวียเหอรีบติดตามไล่ตามโจวทงไปทันที
โจวทงที่ได้รับพิษ แม้จะทราบว่า "ใครเป็นคนลงมือ" แต่ก็ไม่มีเวลามาสนใจ เขาได้แต่กลับไปยังสถานที่ซ่อนตัวที่เตรียมไว้ เพื่อให้หญิงรับใช้ต้มยาแก้พิษให้ แต่พอโจวทงที่ดื่มยาแก้พิษไปสักพักกับรู้สึกถึงพิษกำเริบขึ้น และพบยังหญิงรับใช้ได้จากไปพร้อมทั้งโม่อวี่ (นางข้าหลวงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์) ที่ปรากฏตัวมา จึงทราบดีว่า "โม่อวี่มาเพื่อที่จะสังหารตน" โจวทงจึงขู่ว่า "ถ้าใครทราบว่าโม่อวี่อยู่ที่นี่ เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน" ทั้งโจวทงยังใช้พลังหมายจะโจมตีให้โม่อวี่หลบหนีไป แต่โม่อวี่ที่คิดจะมาตายตั้งแต่ต้นจึงไม่สนใจได้พุ่งเข้ามาโจมตี และในเวลาเดียวกันเจ๋อซิ่วที่ได้มาถึงจะแทงกรงเล็บใส่กระดูกหัวไหล่ของโจวทง ทำให้โจวทงต้องใช้พลังเฮือกสุดท้ายระเบิดออกมาพังทลายจนบ้านพังแล้วรีบหนีเอาตัวรอดทันที
โจวทงที่ทำได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้รับพิษ ได้แต่คลานไปตามพื้นถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ด้านโม่อวี่ที่ไม่สนใจอะไรกับถือกระบี่ออกมาเดินฟันใส่ไล่ล่าไปตามทางอย่างช้าๆ ทรมานอีกฝ่าย โดยที่โจวทงซึ่งพยายามคลานหนีและหวังว่า "เมื่อออกไปจากถนนสายนี้ได้ เหล่าอ๋องหรือขุนนางที่มีตำแหน่งทั้งหลายจะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน"
แต่ประตูบานแรกที่เปิดกับเป็นบ้านของเซวียสิ่ง ภรรยาและบุตรสาวของเซวียสิ่งกับยืนมองดูโจวทงโดนโม่อวี่ฟันกระบี่ใส่ โดยไม่สนใจอะไรก่อนปิดประตูลง โจวทงจึงคลานหนีต่อไปถึงจวนอ๋องทั้งหลาย ร้องตะโกนให้บรรดาอ๋องออกมาช่วยตน แต่โม่อวี่กับร้องออกมาว่า "บุตรของจักรพรรดิองค์ก่อน ไม่มีใครที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอาชีวิตเลยสักคน ทุกคนยังมีชีวิตอยู่" จึงทำให้ท่านอ๋องทั้งหลายต่างปิดประตูไม่สนใจยังโจวทงอีก โจวทงจึงได้แต่คลานหนีต่อไปด้วยความหวัง เพราะเพียงแค่ไม่ตายตนก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต
แต่คนที่รอคอยโจวทงอยู่ด้านนอกของถนนกับเป็นเฉินฉางเซิง โจวทงคิดว่า "ตนน่าจะรอดตาย เพราะเฉินฉางเซิงน่าจะทรมานตนเหมือนกับโม่อวี่ แต่เฉินฉางเซิงกับตวัดกระบี่ตัดคอโจวทงอย่างรวดเร็วอย่างที่คาดไม่ถึง ก่อนที่ซางสิงโจว (อาจารย์พระเอก) หรือปรมาจารย์พรตกับให้อวี๋เหริน (ศิษย์พี่พระเอก/ฮ่องเต้) ออกราชโองการสำเร็จโทษโจวทงแทนการช่วยเหลือ เพราะยังไงโจวทงก็คือตัวแทนความชั่วร้ายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เป็นการใช้ถึงการตายของโจวทงให้มีประโยชน์ที่สุดต่อตนเองของซางสิงโจว
หลังการสังหารโจวทง โม่อวี่โดนกักบริเวณที่ร้านซวงฮวา ส่วนเจ๋อซิ่วถูกส่งกับไปชายแดนทางเหนือ ในขนาดที่ใต้เท้าสังฆราชที่กำลังสิ้นใจได้ทำพิธีมอบมงกุฎให้กับเฉินฉางเซิงก่อนสิ้นลมไป ปราณศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ทั้ง 6 จากค่ายกลในตำหนักหลีกงได้สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า
ที่ใต้บ่อน้ำใบไม้สีครามที่อาศัยประกายสายรุ่ง 6 สีเติบโตขึ้น รากของมันเจาะลงไปยังผนังที่ล่ามจูซา (หงจวง/มังกรน้ำค้างแข็ง) เอาไว้ สายรุ่งอีกสายหนึ่งสาดส่องลงไปยังร้านซวงฮวาก่อนที่ร่างของโม่อวี่ที่โดนกักบริเวณจะหายไป
เฉินฉางเซิงได้ไปพบซางสิงโจวตามคำสั่งเสียสุดท้ายของใต้เท้าสังฆราช เมื่อพูดคุยกันทำให้เฉินฉางเซิงกล่าวว่า "การมีอยู่ของเขาคือการขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของอาจารย์" ซึ่งซางสิงโจวก็ยอมรับ เขากลัวที่จะมองเฉินฉางเซิง เพราะการมีชีวิตอยู่ของเฉินฉางเซิงเหมือนเป็นความละอายของตนเองที่ใช้ประโยชน์จากทารกผู้หนึ่ง (แต่ไม่ได้รู้สึกผิดต่อเฉินฉางเซิง) และซางสิงโจวก็ไม่สามารถลงมือเองได้ เพราะจะทำให้การบำเพ็ญเพียรของตนยิ่งมีปัญหา ซางสิงโจวจึงได้แต่เปิดโอกาสให้คนอื่นที่ต้องการให้เฉินฉางเซิงตายลงมือเท่านั้น เช่นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ควรที่จะฆ่าหรือกินเฉินฉางเซิงไปเสีย และในการพบกันในครั้งนี้ซางสิงโจวก็ให้นักพรต 10 คนก้าวเข้ามากมายจะสังหารเฉินฉางเซิงเช่นกัน
แต่จูซาที่สามารถขึ้นจากบ่อน้ำได้กับก้าวออกมาขวางยังเบื้องหน้าของเฉินฉางเซิงพร้อมทั้งบอกว่า "เธอคือผู้คุ้มกัน" แม้จูซาจะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของซางสิงโจว เพราะในยามนี้ที่ข้อเท้าของเธอยังมีโซ่ที่ไม่สามารถตัดได้คล้องไว้อยู่ ซึ่งซางสิงโจวก็บอกว่า "โซ่นี้เป็นของตนที่ให้ยืมไป" ต่อมากระเรียนขาวได้บินมาจากแดนใต้ส่งเสียงร้องดังขึ้น ซางสิงโจวจึงกล่าวออกมาว่า "อย่าให้จิงตูได้เห็น อย่าให้โลกได้เห็น อย่าให้ข้าได้เห็น"
หลังจากนั้นเฉินฉางเซิงแม้จะได้รับตำแหน่งใต้เท้าสังฆราชแต่กับต้องโดนเนรเทศออกไปจากจิงตู เขาได้จากไปพร้อมกับจูซา
ส่วนนักบวชชินที่เป็นคนเปิดค่ายกลที่กองชำระความและเป็นลูกน้องของโจวทงกับโดนซางสิงโจวสั่งให้ลงไปสืบข่าวที่แดนใต้ถึงยอดเขาเซิ่งหนี่ว์กับเขาหลีซาน
ที่เมืองเสวี่ยเหล่า (ของพวกปีศาจ) ฮั่นชิง (ขุนพลเทพอันดับ 1และรัชทายาทเผ่าปีศาจ) กับโดนราชาปีศาจคนใหม่สังหารที่เป็นน้องชายสังหาร ก่อนที่ราชาปีศาจคนใหม่จะสั่งให้กองทัพบุกลงใต้เพื่อช่วงชิงยังดินแดนและหญิงสาวของพวกมนุษย์
ผ่านไป 2 ปีสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจต่อสู้กันอย่างไม่หยุดยั้ง นักวางค่ายกลหนุ่มที่มีความสำคัญต่อการต่อสู้กับได้รับบาดเจ็บ เขาได้รับการคุ้มครองจากเหล่าทหารกองกำลังซงซาน เพื่อให้มีชีวิตรอด แต่ในเวลานี้ชีวิตของเขากับเหลืออยู่แค่ 5 วัน ถึงแม้อันหวาจากกองสิบสามชิงเย่าจะใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือไว้ก็ตาม ความหวังสุดท้ายของนักวางค่ายกลหนุ่มคือยาลูกกลอนจูซา ที่กล่าวว่า "มีสรรพคุณสามารถรักษาคนใกล้ตายได้" เพียงแต่ว่า "การปันส่วนยาลูกกลอนจูซาต้องรออีก 10 วัน" จึงไม่สามารถรอได้
ในขนาดเดียวกันนายท่านสิบเจ็ดสกุลถังที่รับหน้าที่ในการค้นหาผู้ปรุงยาลูกกลอนจูซานี้กับใช้อุบาย จนได้ยามา นายท่านสิบเจ็ดสกุลถังจึงให้หมอและหัวหน้าตำหนักปกครองอิงหวาวิเคราะห์หาสูตรยา จนสุดท้ายหัวหน้าตำหนักปกครองอิงหวาได้กล่าวว่า "ผลึกที่อยู่ในยาคือปะการังโลหิต" หรือเลือดของมังกร จึงทำให้หลักฐานทั้งหมดของผู้ปรุงยาชี้ชัดไปยังบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น
นายท่านสิบเจ็ดสกุลถังที่คาดเดาได้ว่า "ผู้คุมยาลูกกรจูซาคือใคร" จึงสืบทราบถึงตัวยามากมายที่เป็นส่วนประกอบถูกส่งไปยังหมู่บ้านเกาหยาง เขาจึงปล่อยข่าวให้ผู้คนมากมายหมายบุกไปหา ทำให้แม่ทัพของกองบัญชาการกำลังซงซาน นำอันหวาและนักวางค่ายกลหนุ่มมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเกาหยางทันที แต่พอทุกคนไปถึงเรือนในหุบเขากับพบชายหนุ่มและเด็กสาวชุดดำ 2 คน
ในเวลาเดียวกันจูเยี่ย (ผู้นำตระกูลจูคนปัจจุบัน) หนิงสือเว่ย (ขุนพลเทพ) และเทียนไห่จันอี (บุตรหลานตระกูลเทียนไห่) ได้นำกำลังทหารมาหมายจะจับผู้ปรุงยาลูกกลอนเช่นเดียวกัน แต่เมื่อทุกคนเห็นถึงใบหน้าของชายหนุ่มถึงกับต้องตกใจทันที จูเยี่ยที่คิดโจมตีในตอนแรกถึงกับสลายพลังจนได้รับบาดเจ็บก้มหน้าไอและถอยออกไป ในขนาดที่หนิงสือเว่ยที่เห็นหน้าชายหนุ่มอย่างชัดเจนได้แต่คุกเข่าลงพร้อมทั้งกล่าว "คารวะใต้เท้าสังฆราช" จึงทำให้ทุกคนทราบว่า "ผู้ปรุงยาลูกกลอนจูซาคือเฉินฉางเซิง" ทำให้ทุกคนได้แต่ล่าถอย เพราะไม่มีใครกล้าฆ่าเขาต่อหน้าคนมากมาย
แต่ข่าวที่นายท่านสิบเจ็ดสกุลถังปล่อยออกไป ยังปล่อยไปถึงเมืองเสวี่ยเหล่า ทำให้ส่งยังไห่ตี๋ (ขุนพลปีศาจอันดับ 2) ที่เคยทำร้ายเฉินฉางเซิงบาดเจ็บเมื่อ 1 ปีก่อนมา เพราะจริงๆแล้วนายท่านสิบเจ็ดสกุลถังที่เป็นสายรอง คิดจะสนับสนุนนายท่านรองสกุลถังในการชิงอำนาจกับนายท่านใหญ่ จึงอยากให้เฉินฉางเซิงที่สนิทกับถังซานสือลิ่ว (เพื่อนพระเอกขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลาง/บุตรนายท่านใหญ่) ตาย
จูซาที่ยังโดนโซ่ล่ามข้อเท้าอยู่ (โดนสะกดพลังไว้) ได้ใช้ใบไม้สีครามรับมือกับไห่ตี๋ จูซารู้สึกได้ถึงความรุนแรงจากการโจมตีของอีกฝ่ายที่ใช้หลักศิลาโจมตี จนใบไม้สีครามฉีกขาดและจูซาถึงกับปรากฏบาดแผลขึ้น ซึ่งเฉินฉางเซิงที่เห็นเดาว่า "หลักศิลานั้นน่าจะเป็นศิลาสวรรค์ที่หายไป" เขาจึงพุ่งเข้าไปขว้างยังเบื้องหน้าทันที ได้แต่ใช้เพลงกระบี่โง่งมรับการโจมตี แม้แขนจะหักและได้รับบาดเจ็บหนักก็ตาม
แต่ในยามที่ทุกคนคิดว่า "เฉินฉางเซิงจะต้องตาย" กับมีเสียงพิณดังขึ้นพร้อมทั้งพ่อที่เป็นบัณฑิตกลางคนและลูกสาวคู่หนึ่ง เมื่อไห่ตี๋เห็นถึงกับตกใจ จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยที่เห็นถึงกับนิ่งเงียบทันที เทียนไห่จันอีจึงสั่งให้ทหารของตนฆ่าพ่อลูกคู่นั้นทันที แต่กับมีหญิงสาว 2 คนปรากฏออกมาสังหารทหารได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้ทุกคนทราบดีว่า "เด็กสาวคือหนานเค่อ (องค์หญิงเผ่าปีศาจ/สายเลือดนกยูงมาจุติ) และหญิงสาวทั้ง 2 คือปีกทั้ง 2 ของเธอ
หนิงสือเว่ยจึงชิงขว้างเทียนไห่จันอีใส่ยังหนานเค่อทันที เทียนไห่จันอีก็รีบโจมตีใส่หนานเค่อ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ กับโดนสังหารอย่างง่ายดาย ในขนาดที่จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยต่างทิ้งลูกน้องพุ่งหนีกันไปคนละทิศในทันที โดยไม่สนใจอะไร เพราะคาดเดาถึงพ่อที่เป็นบัณฑิตกลางคนได้ว่า "เป็นใคร"
(รู้สึกว่า "มุกตกหน้าผาแบบนิยายยุคเก่าที่มุกไม่มีใครตายจะได้เห็นอีก" จึงพอจะทำให้เดาได้ว่า "บัณฑิตกลางคนน่าจะเป็นผู้ที่โดนทำร้ายบาดเจ็บจนตกหน้าผาไป")